Бесплатно

กำเนิดราชันย์มังกร

Текст
0
Отзывы
iOSAndroidWindows Phone
Куда отправить ссылку на приложение?
Не закрывайте это окно, пока не введёте код в мобильном устройстве
ПовторитьСсылка отправлена
Отметить прочитанной
Шрифт:Меньше АаБольше Аа

ไคร่ารู้ดีว่าข้างนอกตอนกลางคืนไม่ปลอดภัย ในป่าเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย อาชญากร และโทรล โดยเฉพาะค่ำคืนแห่งเหมันต์จันทรานี้ หนึ่งคืนในปีที่ควรจะอยู่ในบ้านและกั้นประตูเหล็ก ค่ำคืนที่ความตายข้ามแดนมาจากโลกอื่น อะไรก็เกิดขึ้นได้ ไคร่ามองขึ้นไป พระจันทร์สีเลือดลอยอยู่ที่ขอบฟ้า ราวกับกำลังดึงดูดเธอ

ไคร่าสูดหายใจลึก ก้าวเท้าแรกออกไปและไม่หันหลังกลับมา พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งที่กำลังรอเธออยู่ในค่ำคืนนี้

บทที่แปด

อเล็คนั่งอยู่ในโรงตีเหล็กของพ่อ เขากำลังตีเหล็กขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า มันมีรอยขีดข่วนมากมายจากการใช้งานมาแรมปี เขายกค้อนขึ้นและตีลงบนดาบเหล็กร้อนที่มีประกายสว่างหลังจากเพิ่งนำออกมาจากเปลวไฟ อเล็คเหงื่อออกท่วมกาย ดูหมดหวัง ราวกับว่าเขาตีค้อนออกมาด้วยแรงแห่งความโกรธ เขาเพิ่งอายุครบสิบหกปี รูปร่างเล็กกว่าเด็กผู้ชายส่วนใหญ่ที่อายุเท่ากัน แต่เขาแข็งแรงกว่าด้วยไหล่กว้างที่มีกล้ามเนื้อ ผมของเขามีสีดำเป็นลอนยาวระดับดวงตา อเล็คไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ชีวิตของเขาถูกหล่อหลอมมาอย่างหนักหน่วงเหมือนเช่นเหล็กกล้า เขานั่งอยู่ข้างกองไฟ และใช้หลังมือปาดเหงื่อออกจากดวงตาของเขาอย่างต่อเนื่อง จิตใจเฝ้าครุ่นคิดถึงข่าวที่เพิ่งได้รับ เขาไม่เคยรู้สึกสิ้นหวังขนาดนี้มาก่อน เขาฟาดค้อนลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า หยาดเหงื่อไหลลงมาที่หน้าผากและหยดระเหยไปบนดาบ เขาต้องการใช้ค้อนทำลายปัญหาของเขาให้หมดไป

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา อเล็คเคยสามารถควบคุมทุกสิ่ง เขาทำงานหนักเพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ตอนนี้นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาควรปล่อยให้มันไปและมองดูความอยุติธรรมเข้ามาในชีวิตของเขา ครอบครัวของเขา ไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถทำได้

อเล็คยังคงทุบค้อนต่อไป เสียงตีเหล็กดังก้องอยู่ในหูของเขา หยาดเหงื่อไหลเข้าสู่ดวงตา แต่เขาไม่สนใจ เขาต้องการทุบเหล็กนี้จนกว่าจะไม่เหลืออะไร ในขณะที่เขาง้างแขนทุบค้อนลงไปเขาไม่ได้คิดถึงดาบ แต่เขากลับคิดถึงแพนดิเซีย เขาจะฆ่าพวกมันทั้งหมดถ้าเขาสามารถทำได้ ผู้รุกรานเหล่านี้ได้พรากพี่ชายของเขาไป อเล็คจินตนาการว่าดาบคือหัวของพวกมัน เขาเฝ้าแต่หวังว่าเขาจะสามารถคว้าโชคชะตาด้วยมือของตัวเองและทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างตามที่เขาต้องการ เขาปรารถนาให้ตัวเองแข็งแกร่งเพียงพอที่จะลุกขึ้นต่อต้านแพนดิเซียด้วยตัวของเขาเอง

เหมันต์จันทราคือวันที่เขาเกลียดชังมากที่สุด มันเป็นวันที่แพนดิเซียจะตระเวนไปทุกหมู่บ้านของเอสคาลอน และนำตัวเด็กผู้ชายอายุที่ครบสิบแปดปี เพื่อเกณฑ์ไปยังกำแพงอัคคี อเล็คอายุอ่อนกว่าสองปี เขาจึงยังคงปลอดภัย แต่พี่ชายของเขา แอชตัน เพิ่งจะอายุครบสิบแปดปีเมื่อฤดูเก็บเกี่ยวที่แล้ว ทำไมต้องเป็นแอชตัน ทำไมไม่เป็นคนอื่น? เขาเฝ้าสงสัย แอชตันคือวีรบุรุษของเขา ผู้ซึ่งเกิดมาพร้อมโรคเท้าปุก แอชตันมักมีรอยยิ้มให้เขาเสมอ แอชตันเป็นคนร่าเริง เขาร่าเริงมากกว่าอเล็ค และมักจะทำทุกอย่างในชีวิตให้ดีที่สุด ตรงข้ามกับอเล็คที่คิดมาก และมักติดอยู่ในพายุอารมณ์ ยิ่งเขาพยายามที่จะมีความสุขให้เหมือนพี่ชายมากแค่ไหน เขาก็ยิ่งไม่สามารถควบคุมความต้องการของเขาได้ นั่นทำให้ตัวเขาต้องครุ่นคิด คนอื่นเคยบอกว่าเขาจริงจังกับชีวิตมากเกินไป เขาควรจะผ่อนคลายบ้าง แต่สำหรับเขา ชีวิตช่างเป็นเรื่องยากเย็น ร้ายแรง และเขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร

แอชตันตรงกันข้ามกับอเล็ค เขาเป็นคนสุขม ไตร่ตรองและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เขาเป็นช่างตีดาบที่ดีเหมือนกับพ่อ และตอนนี้เขาคือคนที่ต้องหาเลี้ยงครอบครัวเพียงลำพัง ตั้งแต่พ่อเจ็บป่วย ถ้าแอชตันถูกพาตัวไป ครอบครัวของเขาต้องประสบกับความยากจน เลวร้ายไปกว่านั้น อเล็ครู้สึกเหมือนถูกบดขยี้ เมื่อได้ยินเรื่องราวว่าชีวิตของพี่ชายในฐานะทหารเกณฑ์นั้นจะเหมือนกับการตายทั้งเป็น แอชตันเป็นโรคเท้าปุก มันจึงเป็นเรื่องโหดร้ายและไม่เป็นธรรมที่แพนดิเซียจะพาเขาไป แต่แพนดิเซียขึ้นชื่อเรื่องการไร้ความเมตตา อเล็คจึงยิ่งรู้สึกจมดิ่งเมื่อรู้ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่พี่ชายของเขาจะใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน

พวกเขาไม่ใช่ครอบครัวที่มั่งคั่ง และไม่ได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ร่ำรวย บ้านของเขาเป็นแบบเรียบง่าย กระท่อมชั้นเดียวขนาดเล็กที่มีโรงตีเหล็กอยู่ติดกับบ้าน ตั้งอยู่ในชานเมืองของโซลี ใช้เวลาเดินทางขึ้นเหนือหนึ่งวันเพื่อไปยังเมืองหลวง และหนึ่งวันสำหรับการลงใต้ไปยังป่าไวท์วู้ด ที่นี่ไม่มีทางออกสู่ทะเล หมู่บ้านที่สงบสุขในชนบทบนหุบเขา ห่างไกลจากสิ่งต่าง ๆ ผู้คนจะใช้เส้นทางนี้เพื่อมุ่งสู่เอนดรอส ครอบครัวของเขามีเสบียงขนมปังเพียงพอที่จะผ่านพ้นไปในแต่ละวัน ไม่มากและไม่น้อยเกินไป นั่นคือทั้งหมดที่พวกเขาปรารถนา พวกเขาใช้ทักษะในการตีเหล็กเพื่อนำไปขายที่ตลาด รายได้เพียงพอสำหรับการหาเลี้ยงตัวเองในสิ่งที่จำเป็น

อเล็คไม่ได้หวังอะไรมากมายในชีวิต นอกจากความยุติธรรม เขารู้สึกสั่นกลัวเมื่อคิดว่าพี่ชายของเขากำลังจะถูกนำตัวไปเพื่อรับใช้แพนดีเซีย เขาได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นอยู่ของคนที่ถูกเกณฑ์ การทำหน้าที่ที่กำแพงอัคคี เปลวไฟที่โหมลุกไหม้ทั้งวันทั้งคืน อเล็คเคยได้ยินมาว่าที่นั่นมีคนมากมาย ทาสจากทั่วโลก ทหารเกณฑ์ อาชญากร และทหารที่เลวร้ายที่สุดของแพนดิเซีย พวกเขาส่วนใหญ่ไม่สูงส่งเหมือนนักรบของเอสคาลอน ไม่สูงส่งเหมือนผู้เฝ้าประตู อเล็คได้ยินมาว่าสิ่งที่อันตรายที่สุดของกำแพงอัคคีไม่ใช่โทรล แต่เป็นผู้เฝ้ามองด้วยกัน แอชตันรู้ดีว่าเขาไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ เขาคือช่างตีเหล็ก ไม่ใช่นักสู้

“อเล็ค!”

เสียงแหลมของแม่ดังลอยมา แทรกผ่านเสียงตีค้อนของเขา

อเล็ควางค้อนลง ถอนหายใจลึก ไม่รู้ว่าเขาออกแรงไปมากเท่าไร เขาปาดหน้าผากด้วยหลังมือ มองไปยังแม่ที่กำลังยืนโมโหอยู่ที่บานประตู

“ข้าเรียกเจ้าเป็นสิบนาทีแล้ว!” เธอพูดออกอย่างหยาบกร้าน “มื้อเย็นผ่านไปแล้ว! เรามีเวลาไม่มากนักก่อนที่พวกเขาจะมาถึง พวกเราทุกคนกำลังรอเจ้าอยู่ เข้ามาได้แล้ว”

เขาสลัดออกจากภวังค์ วางค้อนของเขาลง ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน และแหวกตัวผ่านห้องเครื่องมือที่คับแคบ เขาไม่สามารถยืดเวลาออกไปได้อีกแล้ว

เขาเดินไปยังกระท่อม ผ่านประตูทางเดิน ผ่านแม่ที่กำลังฉุนเฉียว เขาหยุดและมองไปที่ยังโต๊ะอาหารมื้อเย็น มันได้รับการจัดเรียงอย่างดีที่สุด ซึ่งไม่ได้มีอะไรมากนัก เพียงแค่แผ่นไม้ธรรมดาและเก้าอี้ไม้สี่ตัว พร้อมถ้วยเงินที่วางไว้กลางโต๊ะ มันเป็นสิ่งมีค่าเพียงอย่างเดียวของครอบครัว

ผู้คนที่นั่งล้อมรอบโต๊ะหันมามอง พวกเขากำลังรออยู่ พี่ชายและพ่อของเขานั่งอยู่หลังชามสตูที่วางไว้เบื้องหน้า

แอชตันตัวสูง ผอมบาง ผิวสีดำ ขณะที่พ่อเป็นผู้ชายตัวโต เอวกว้างเป็นสองเท่าของอเล็ค พุงโต คิ้วต่ำ ขนคิ้วหนา และมือที่หยาบกร้านของช่างตีเหล็ก พวกเขาคล้ายกัน ต่างจากอเล็คที่มีผมสลวยยุ่งเหยิง และดวงตาสีเขียวเป็นประกาย สิ่งนี้ทำให้เขาดูเหมือนแม่

แอชตันมองมา เขาสังเกตได้ถึงความกลัวบนใบหน้าของพี่ชาย ความกังวลของพ่อ ทุกคนดูเหมือนกำลังจ้องมองนาฬิกาเพื่อนับถอยหลังสู่ลานประหาร เขารู้สึกโหวงเหวงในท้องเมื่อเข้ามาในห้อง แต่ละคนล้วนมีชุดชามอยู่เบื้องหน้า อเล็คนั่งอยู่ตรงข้ามพี่ชาย แม่ของเขาจัดชามไว้ด้านหน้า จากนั้นจัดอีกชุดสำหรับตัวของเธอเอง

เลยเวลาอาหารเย็นมาแล้ว นี่เป็นเวลาที่เขามักจะหิว อเล็คได้กลิ่นของอาหาร ท้องของเขากำลังปั่นป่วน

“ข้าไม่หิว” เขาพึมพำออกมา ความเงียบก่อตัวขึ้น

แม่ของเขาทำตาดุใส่

“ข้าไม่สนใจ” เธอตอบกลับมา “เจ้าจะกินอะไรก็ตามที่มีให้กิน นี่อาจเป็นมื้อสุดท้ายที่เราได้ร่วมโต๊ะกันในแบบครอบครัว อย่าหมิ่นพี่ชายของเจ้า”

อเล็คหันไปมองแม่ ผู้หญิงอายุราวห้าสิบ ใบหน้าของเธอมีริ้วรอยจากการใช้ชีวิตที่ยากลำบาก แววตาสีเขียวอันแน่วแน่ของแม่ที่มองกลับมาที่เขา ความแน่วแน่ในแบบเดียวกับที่เขาทำอยู่

“เราแกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นดีไหม?” เขาถาม

“เขาคือลูกชายของเราเช่นกัน” เธอตอบ “เจ้าไม่ใช่คนเดียวที่นี่”

อเล็คหันไปที่พ่อของเขา รู้สึกได้ถึงความหมดหวัง

“พ่อจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นหรือ?” เขาถาม

พ่อของเขาคิ้วขมวดและยังคงเงียบ

“เจ้าทำให้อาหารดี ๆ เสียรสชาติ” แม่ของเขาพูด

พ่อของเขายกมือขึ้นมา แม่เงียบลง เขาหันไปที่อเล็คและจ้องหน้าเขา

“เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร?” เขาถาม น้ำเสียงของเขาจริงจัง

“พวกเรามีอาวุธ!” อเล็คยืนกราน กำลังเฝ้ารอคำถามนี้ “เรามีเหล็ก! เราคือคนส่วนน้อยที่มีสิ่งนี้! เราสามารถฆ่าทหารคนไหนก็ได้ที่เข้ามาใกล้! พวกมันจะต้องคาดไม่ถึง!”

พ่อของเขาส่ายหัวอย่างไม่ยอมรับ

“สิ่งเหล่านั้นคือความฝันของคนหนุ่ม” เขาพูด “เจ้าไม่เคยฆ่าใครมาก่อนในชีวิต ลองนึกดูว่าถ้าเจ้าฆ่าทหารที่มาพาแอชตันไป และเจ้าจะทำอย่างไรกับทหารอีกสองร้อยคนข้างหลัง?”

“ซ่อนตัวแอชตันสิ!” อเล็คยืนกราน

พ่อของเขาส่ายหัว

“พวกเขามีรายชื่อของเด็กผู้ชายทุกคนในหมู่บ้านนี้ พวกเขารู้ว่าแอชตันอยู่ที่นี่ ถ้าเราไม่ส่งตัวแอชตันไป พวกเขาจะฆ่าพวกเราทุกคน” เขาถอนหายใจอย่างหงุดหงิด “เจ้าคิดว่าข้าไม่เคยคิดถึงวิธีเช่นนี้หรือ ไอ้ลูกชาย? เจ้าคิดว่าเจ้าคือคนเดียวที่ห่วงใยแอชตันหรือ? เจ้าคิดว่าข้าต้องการให้ลูกชายเพียงคนเดียวของข้าถูกพรากไปอย่างนั้นหรือ?”

อเล็คชะงัก สับสนกับคำพูดของพ่อ

“ท่านหมายความว่าอย่างไร ลูกชายคนเดียว?” เขาถาม

พ่อของเขาหน้าแดง

“ข้าไม่ได้พูดว่า คนเดียว ข้าพูดว่า คนโต

“ไม่ ท่านพูดว่า คนเดียว” อเล็คเถียงอย่างสงสัย

พ่อของเขาหน้าแดงมากขึ้น และเริ่มพูดเสียงดัง

“เลิกไร้สาระเสียที!” เขาตะโกน “ไม่ใช่เวลานี้ ข้าพูดว่า คนโต นั่นคือสิ่งที่ข้าหมายถึง มันจบแค่นั้น! ข้าไม่ต้องการให้ลูกชายของข้าถูกพาตัวไป เช่นเดียวกับที่เจ้าไม่ต้องการให้พี่ชายของเจ้าถูกพาไป!”

“อเล็ค ใจเย็น ๆ” เสียงที่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ คนเดียวในห้องนี้ที่ยังคงใจเย็นอยู่

อเล็คมองข้ามโต๊ะ และเห็นแอชตันกำลังยิ้มกว้างกลับมา เขายิ้มสวยเช่นเคย

“มันจะต้องไม่เป็นอะไร น้องข้า” แอชตันพูด “ข้าจะไปทำหน้าที่ของข้า และข้าจะกลับมา”

“กลับมา?” อเล็คย้ำ “พวกมันจะให้เจ้าเป็นผู้เฝ้าประตูถึงเจ็ดปี”

แอชตันยิ้ม

“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะกลับมาหาเจ้าในอีกเจ็ดปี” เขาตอบพร้อมยิ้มกว้าง “ข้าหวังว่าเจ้าจะตัวสูงกว่าข้าเมื่อถึงเวลานั้น”

นั่นคือแอชตัน เขามักจะพยายามทำให้อเล็ครู้สึกดีขึ้นเสมอ เขามักจะคิดถึงคนอื่นแม้แต่ในเวลาเช่นนี้

อเล็ครู้สึกหัวใจแตกสลายอยู่ข้างใน

“แอชตัน เจ้าจะไปไม่ได้” เขายืนกราน “เจ้าจะอยู่ไม่ได้ที่กำแพงอัคคี”

“ข้า…” แอชตันกำลังจะพูด

แต่คำพูดของเขาถูกขัดจังหวะโดยเสียงโหวกเหวกจากข้างนอก เสียงม้ากำลังวิ่งเข้ามายังหมู่บ้าน เสียงโห่ร้องของผู้คน ครอบครัวทั้งหมดต่างมองหน้ากันด้วยความหวาดกลัว พวกเขานั่งอยู่ที่นั่น ตัวแข็งทื่อ ในขณะที่ผู้คนเริ่มวิ่งไปมานอกหน้าต่าง อเล็คมองเห็นเด็กผู้ชายและครอบครัวทั้งหมดยืนเรียงแถวอยู่ข้างนอก

“ยืดเวลาต่อไปอีกไม่ได้แล้ว” พ่อของเขาพูด ยืนขึ้น และวางฝ่ามือลงบนโต๊ะ เสียงของเขาขจัดความเงียบ “เราไม่ควรเสื่อมเสียเกียรติด้วยการให้พวกเขาเข้ามาลากตัวแอชตัน เราจะออกไปต่อแถวข้างนอกพร้อมกับคนอื่น ๆ ยืนอย่างภาคภูมิ และสวดภาวนาเมื่อพวกเขาเห็นเท้าของแอชตัน ให้พวกเขาทำสิ่งที่มีมนุษยธรรมและมองข้ามเขาไป”

อเล็คค่อย ๆ ลุกขึ้นจากโต๊ะ ในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังขวักไขว่อยู่ข้างนอก

เมื่อเขาก้าวออกมาข้างนอกสู่ค่ำคืนอันหนาวเย็น อเล็คตกตะลึงกับภาพที่เห็น มันคือความอลหม่านที่เกิดในหมู่บ้านของเขาในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ท้องถนนส่องสว่างด้วยคบไฟ เด็กผู้ชายทุกคนที่อายุเกินสิบแปดปีต่างออกมาตั้งแถว ครอบครัวของพวกเขาทั้งหมดกำลังยืนอย่างกังวลและจ้องมอง หมอกฝุ่นละอองเต็มท้องถนนในขณะที่คาราวานของกองทัพแพนดิเซียมุ่งเข้ามาในเมือง ทหารจำนวนหนึ่งโหลในชุดเกราะสีแดงของแพนดิเซียกำลังขี่รถม้าศึกที่ถูกลากโดยม้าขนาดใหญ่ เบื้องหลังพวกเขาเป็นรถลากที่ทำจากกรงเหล็ก กระแทกไปมาตามถนน

 

อเล็คมองดูรถลาก ในนั้นเต็มไปด้วยเด็กผู้ชายจากทั่วทุกที่ กำลังจ้องมองมาด้วยความหวาดกลัวและมีใบหน้าอันขมขื่น เขากลืนน้ำลายเมื่อเห็นภาพดังกล่าว กำลังคิดว่าสิ่งใดรอพี่ชายของเขาอยู่

พวกมันทั้งหมดเข้ามาหยุดที่หมู่บ้าน ความเงียบอันตึงเครียดเริ่มปกคลุม ทุกคนหายใจกระหืดกระหอบรออยู่

ผู้บัญชาการของกองทัพแพนดิเซียกระโดดลงมาจากรถลากของเขา ทหารร่างสูงที่ดูไร้ความปราณีภายใต้แววตาสีดำ แผลบากยาวปรากฏอยู่บนคิ้วของเขาข้างหนึ่ง เขาเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ เริ่มสำรวจเด็กผู้ชาย เมืองเงียบมากจนสามารถได้ยินเสียงเดือยรองเท้าของเขาส่งเสียงในขณะที่เขาเดิน

ทหารมองดูเด็กผู้ชายแต่ละคน ยกคางของเขาขึ้นมา และมองไปยังดวงตา เคาะไหล่ของพวกเขา ผลักดูเล็กน้อยเพื่อทดสอบความสมดุล เขาพยักหน้าแล้วเดินไป หลังจากนั้น ทหารที่กำลังรออยู่ได้เข้ามาจับตัวเด็กผู้ชายอย่างรวดเร็วและลากเข้าไปในรถลาก เด็กผู้ชายบางคนเดินไปอย่างเงียบ ๆ บางคนแสดงการขัดขืน พวกเขาจึงถูกจัดการอย่างรวดเร็วโดยไม้ตะบองและถูกโยนเข้าไปยังรถลากพร้อมกับคนอื่น ๆ แม่ส่งเสียงร้องไห้ พ่อร้องตะโกนด่าทอ แต่ไม่มีสิ่งใดสามารถหยุดยั้งแพนดิเซียได้

ผู้บัญชาการยังคงเดินต่อไป อย่างกับกำลังเลือกหยิบสิ่งของมีค่าที่สุดจากหมู่บ้าน จนกระทั่งในที่สุดเขาก็มาหยุดต่อหน้าแอชตันที่จุดสิ้นสุดของแถว

“ลูกชายของข้ามันไร้ประโยชน์” แม่ของเธอตะโกนออกมาอย่างรวดเร็ว อ้อนวอนอย่างไร้ความหวัง “เขาจะไร้ประโยชน์ต่อท่าน”

ทหารมองดูแอชตัน สายตาหยุดอยู่ที่เท้าของเขา

“พับกางเกงของเจ้าขึ้น” เขาพูด “และถอดรองเท้าของเจ้าออก”

แอชตันทำตาม เขาพิงอเล็คเพื่อรักษาสมดุล อเล็คมองดูพี่ชายของเขา รู้ดีว่าเขากำลังจะถูกเย้ยหยัน เท้าของเขามักเป็นที่ล้อเลียน เท้าขนาดเล็กกว่าคนอื่น ๆ ลักษณะบิดเบี้ยวและเล็กลีบ ทำให้เขาต้องเดินโขยกเขยก

“เขาช่วยงานข้าในโรงตีเหล็ก” พ่อของอเล็คส่งเสียงเข้ามา “เขาคือคนสร้างรายได้เดียวของเรา ถ้าพวกท่านพาเขาไป ครอบครัวของเราจะไม่เหลืออะไรเลย เราจะไม่สามารถอยู่รอดได้”

ผู้บัญชาการมองเท้าของเขา ชี้นิ้วส่งสัญญาณให้แอชตันใส่รองเท้ากลับไป เขาหันกลับและมองไปที่พ่อด้วยแววตาสีดำอันเยือกเย็นและเฉียบขาด

“ตอนนี้เจ้าอาศัยอยู่ในดินแดนของพวกข้า” เขาพูด เสียงของเขาแหบแห้งเหมือนก้อนกรวด “และลูกชายของเจ้าคือทรัพย์สินของพวกเรา เราสามารถทำอะไรก็ได้ที่เราต้องการ พาตัวมันไป!” ผู้บัญชาการตะโกนสั่ง เหล่าทหารวิ่งมาข้างหน้า

“ไม่!” เสียงร้องของแม่อเล็ค ท่ามกลางความโศกเศร้า “ไม่ใช่ลูกของข้า!”

เธอรีบวิ่งไปข้างหน้าและจับแอชตันเอาไว้ ยื้อแย่งตัวเขา พวกทหารแพนดิเซียก้าวเข้ามา และฟาดหลังมือลงบนใบหน้าของเธอ

พ่อของอเล็คคว้าแขนของทหาร ทหารหลายคนกระโจนเข้ามาและรุมตะบันจนเขาร่วงลงพื้น

อเล็คยืนอยู่ที่นั่น กำลังมองดูทหารลากแอชตันไป เขาทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ความอยุติธรรมกำลังจะฆ่าพี่ชายของเขา เขารู้ว่าเขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้กับเหตุการณ์นี้ ภาพของพี่ชายที่กำลังถูกพรากไปจะฝังลึกอยู่ในจิตใจของเขาไปตลอดกาล

บางอย่างภายในจิตใจของเขาตะโกนออกมา

“เอาตัวข้าไปแทน!” อเล็คพบว่าตัวเองกำลังตะโกนออกไป เขาวิ่งออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ยืนอยู่ระหว่างแอชตันและทหาร

ทั้งหมดหยุดนิ่ง และมองมาที่เขาอย่างงุนงง

“เราคือผู้ชายจากครอบครัวเดียวกัน!” อเล็คพูดต่อ “กฎหมายระบุว่าให้พาเด็กผู้ชายไปหนึ่งคนจากแต่ละครอบครัว ข้าจะเป็นเด็กผู้ชายคนนั้น!”

ผู้บัญชาการเดินมา และมองดูเขาอย่างระมัดระวัง

“แล้วเจ้าอายุเท่าไร ไอ้หนู?” เขาถาม

“ข้าเพิ่งจะอายุสิบหกปี!” เขาตะโกนออกไปอย่างภาคภูมิ

ทหารหัวเราะ ขณะที่ผู้บัญชาการยิ้มเยาะ

“เจ้ายังอ่อนไปสำหรับทหารเกณฑ์” เขาสรุป และไล่อเล็คกลับ

แต่เมื่อเขากำลังจะหันหลังเดินไป อเล็ควิ่งมาข้างหน้า

“ข้าคือทหารที่ดีกว่าเขา!” อเล็คยืนกราน “ข้าสามารถขว้างหอกได้ไกลกว่า ตัดดาบได้ลึกกว่า การเล็งเป้าของข้าแม่นยำกว่า และข้าแข็งแรงกว่าเด็กผู้ชายอายุเท่ากันที่ตัวโตกว่าข้าสองเท่า ได้โปรดเถอะ” เขาอ้อนวอน “ให้โอกาสข้า”

ผู้บัญชาการจ้องกลับมา แม้ว่าอเล็คจะยืนอย่างมั่นใจ แต่ภายในใจของเขากำลังหวาดกลัว เขารู้ว่าเขากำลังเสี่ยงอย่างมาก เขาอาจถูกจองจำหรือถูกฆ่าที่ทำเรื่องเช่นนี้

ผู้บัญชาการจ้องมองเขานานราวกับชั่วนิรันดร์ ทั้งหมู่บ้านเงียบสงัด จนในที่สุด เขาพยักหน้ากับยังทหารของเขา

“ปล่อยเจ้าพิการนั่น” เขาสั่งการ “พาเด็กคนนี้ไป”

ทหารผลักแอชตันออกมาและคว้าตัวอเล็ค ในชั่วอึดใจอเล็คก็ถูกลากตัวไป ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดูไม่เหมือนความจริง

“ไม่!” แม่ของอเล็คร้องตะโกนออกมา

เขามองเห็นแม่กำลังน้ำตานอง ในขณะที่เขากำลังถูกลากตัวไปและถูกจับโยนอย่างรุนแรงเข้าไปในกรงเหล็กที่เต็มไปด้วยเด็กผู้ชาย

“ไม่!” แอชตันตะโกนออกมา “ปล่อยน้องข้าไป! เอาข้าไปแทน!”

แต่ไม่มีใครฟังอะไรอีกแล้ว อเล็คถูกผลักลึกเข้าไปในรถลากที่เต็มด้วยกลิ่นเหม็นของเหงื่อและความหวาดกลัว สะดุดกับเด็กผู้ชายอีกคนที่ผลักเขาอย่างหยาบคาย เสียงประตูเหล็กปิดดังสะท้อนไล่หลัง อเล็ครู้สึกโล่งอกอย่างที่สุดที่ได้ช่วยชีวิตพี่ชายของเขาไว้ มากกว่าความกลัวที่เขามี เขาได้แลกชีวิตของตัวเองกับพี่ชาย ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตามนับจากนี้ มันคงกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย

เขานั่งลงบนพื้นและพิงหลังกับลูกกรงเหล็ก รถลากเคลื่อนตัวออกไปแล้ว เขารู้ว่าเขาอาจจะไม่มีชีวิตรอด เขาหันไปเห็นสายตาอันโกรธเกรี้ยวหลายคู่ของเด็กผู้ชายคนอื่นที่จ้องมองมาที่เขาท่ามกลางความมืดมิด รถลากเคลื่อนตัวไปตามทางพร้อมกับแรงกระแทก เขารู้ว่าการเดินทางที่กำลังจะมาถึงนี้มีหลายล้านวิธีที่อาจทำให้เขาตายได้ เขาสงสัยว่าจะเป็นวิธีไหน ถูกเผาด้วยกำแพงอัคคี? ถูกเด็กคนอื่นแทง? ถูกโทรลกิน?

หรืออาจมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น สิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ การมีชีวิตรอด?

บทที่เก้า

ไคร่าเดินขึ้นเขาท่ามกลางเมฆหมอกหิมะที่บดบังสายตา เลโอเอนตัวพิงกับขาของเธอ ความอบอุ่นจากร่างกายของมันคือสิ่งเดียวที่เธอสามารถสัมผัสได้ในท้องทะเลสีขาวแห่งนี้ หิมะพัดผ่านใบหน้าของเธอ เธอแทบจะมองไม่เห็นอะไรในระยะเกินกว่าหนึ่งฟุต มีเพียงแสงเดียวจากพระจันทร์สีเลือดที่ปราศจากเมฆปกคุลม กำลังส่องสว่างลงมาเบื้องล่าง ความหนาวเย็นทะลุเข้าไปถึงกระดูกของเธอ การเดินทางเพียงไม่กี่ชั่วโมงจากบ้านของเธอ เธอเริ่มคิดถึงความอบอุ่นของป้อมปราการเสียแล้ว เวลาเช่นนี้เธอน่าจะนั่งอยู่ข้างเตาไฟ ในกองขนสัตว์ กำลังดื่มช็อคโกแลต และอ่านหนังสือเล่มโปรด

ไคร่าพยายามขจัดความคิดนั้นออกไป และมุ่งสู่ความปรารถนาของเธออย่างแน่วแน่ เธอจะต้องหนีไปให้พ้นจากชีวิตที่พ่อต้องการ ไม่ว่าอย่างไร เธอจะไม่ยอมถูกบังคับให้แต่งงานกับผู้ชายที่เธอไม่รู้จักหรือไม่ได้รัก โดยเฉพาะเพียงเพื่อทำให้แพนดิเซียพอใจ เธอจะไม่ยอมฝืนใจตัวเอง เธอจะไม่ล้มเลิกความฝัน เธอยอมตายอยู่ที่นี่ ท่ามกลางความหนาวเหน็บและหิมะหนา ดีกว่าให้คนอื่นมาบงการชีวิตของเธอ

ไคร่าเดินขึ้นไปบนเขา ลุยฝ่าหิมะที่สูงเท่าเข่าของเธอ มุ่งหน้าสู่ค่ำคืนอันมืดมิด ในคืนที่สภาพอากาศย่ำแย่ที่สุดที่เธอเคยประสบ เธอรู้สึกเหมือนฝัน เธอสามารถรับรู้ได้ถึงพลังพิเศษแห่งรัตติกาล เมื่อกล่าวกันว่าความตายจะแบ่งปันชีวิตร่วมกับโลก เมื่อคนอื่น ๆ กลัวการออกจากบ้าน เมื่อชาวบ้านปิดหน้าต่างและประตู สภาพอากาศถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาทึบ บรรยากาศของความมืดทำให้เธอสะท้านขึ้นถนัด รู้สึกได้ถึงวิญญาณที่อยู่รอบตัว เหมือนพวกมันกำลังจ้องมองเธออยู่ ราวกับว่าเธอกำลังเดินเข้าสู่โชคชะตาของเธอ หรืออาจจะเป็นความตายของเธอ

ไคร่าขึ้นมาถึงยอดเขาและมองไปยังเส้นขอบฟ้าอันเลือนลาง นี่เป็นครั้งแรกของการเดินทางครั้งนี้ที่เธอเหมือนถูกเติมเต็มด้วยความหวัง ในระยะอันไกลโพ้นนั้นคือที่ตั้งของกำแพงอัคคี ดวงประทีปเพียงแห่งเดียวในโลกที่เต็มไปด้วยสีขาว ในค่ำคืนอันมืดมิดมันกำลังเรียกตัวเธอราวกับแม่เหล็ก สถานที่เธอเฝ้าสงสัยมาตลอดชีวิต และเป็นสถานที่ต้องห้ามที่พ่อของเธอไม่อนุญาตเด็ดขาด เธอรู้สึกประหลาดใจมากที่เธอเดินมาได้ไกลถึงเพียงนี้ เธอสงสัยว่าเธอเดินมาได้อย่างไร ในเมื่อเธอไม่ได้กำหนดทิศทางตั้งแต่เริ่มออกมา

ไคร่าหยุดและอ้าปากสูดหายใจ กำแพงอัคคี กำแพงไฟขนาดมหึมา แผ่ขยายยาวออกไปในระยะห้าสิบไมล์ตลอดชายแดนตะวันออกของเอสคาลอน สิ่งเดียวที่ขวางกั้นประเทศของเธอจากดินแดนมาร์ดาอันรกร้าง อาณาจักรของโทรล สถานที่ที่พ่อและปู่ของเธอเคยประจำการ เพื่อปกป้องมาตุภูมิของพวกเขา สถานที่ที่เหล่าทหารของพ่อเป็นผู้รักษาประตู และเดินทางกันไปทำหน้าที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน

มันสูงและสว่างมากกว่าที่เธอคาดคิด มากกว่าที่พวกทหารเคยโอ้อวดเอาไว้ เธอสงสัยว่าพลังเวทมนตร์ใดที่ทำให้มันยังคงลุกไหม้ แผดเผาเปลวไฟได้ตลอดเวลา มันเคยมอดดับบ้างไหม การมองด้วยตัวเองแบบนี้ยิ่งทำให้เกิดคำถามมากขึ้น

ไคร่ารู้ว่าที่กำแพงอัคคีมีทหารนับพันเฝ้าประจำการอยู่ ทหารทุกหมู่เหล่า ทหารผู้เชี่ยวชาญจากโวลิส รวมพึงแพนดิเซีย ทาส ทหารเกณฑ์ และอาชญากร โดยหลักการแล้วพวกเขาทั้งหมดคือผู้รักษาประตู ถึงแม้ว่าจะไม่มีผู้ใดมีทักษะเท่ากับคนของพ่อ ซึ่งได้ประจำการอยู่ที่กำแพงอัคคีมาหลายชั่วอายุคน อีกฝั่งมีโทรลนับพันพยายามฝ่าเข้ามา มันคือสถานที่ที่อันตราย สถานที่ปริศนา สถานที่แห่งความสิ้นหวัง ความกล้าหาญ และการปราศจากความกลัว

ไคร่าต้องการเห็นกำแพงอัคคีในระยะใกล้ เธอต้องฝ่าพายุลูกนี้ไปให้ได้ เธอถูฝ่ามือให้อบอุ่น และตัดสินใจแล้วว่าจะมุ่งหน้าไปที่ไหน

ไคร่าเดินไปตามแนวเขาผ่านหิมะที่โหมกระหน่ำ ใช้ไม้เท้าของเธอประคองตัว เลโออยู่เคียงข้างเธอ ทั้งสองกำลังเดินไปสู่กำแพงอัคคี แม้ว่ามันจะอยู่ห่างแค่ไม่กี่ไมล์ แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนไกลออกไปอีกหลายสิบไมล์ และเส้นทางการเดินเขาที่ใช้เวลาเพียงสิบนาที กลับทำให้เธอต้องเสียเวลาเป็นชั่วโมงเมื่อหิมะเริ่มเลวร้ายยิ่งขึ้น ความหนาวเย็นเกาะกินกระดูกของเธอ เธอหันกลับไปและมองหาโวลิส แต่ก็มองไม่เห็นแล้ว มันหายไปในโลกสีขาว เธอรู้สึกหนาวเย็นเกินกว่าที่จะเดินกลับไป

ความเหน็บหนาวทำให้เธอขาสั่น นิ้วเท้าของเธอเริ่มชา มือของเธอติดกับไม้เท้า ในที่สุดไคร่าก็ก้าวขึ้นมายังเนินเขาและสัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมา เมื่อกำแพงอัคคีกำลังแผ่ขยายอยู่เบื้องหน้าของเธอ ภาพที่เธอเห็นทำให้เธอต้องตกตะลึง เหลืออีกไม่ไกลแล้ว เปลวไฟที่ส่องแสงเจิดจ้าในยามค่ำคืน ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นกลางวัน กำแพงอัคคีตั้งอยู่อย่างตระหง่านสูงเด่น เมื่อเงยหน้าขึ้นไป เธอไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุดได้ ความร้อนรุนแรงที่แผ่ออกมามอบความอบอุ่นให้กับร่างกายของเธอ ฝ่ามือและเท้าของเธอกลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง เสียงเปลวไฟปะทุและลุกโชนช่างรุนแรง มันกลืนกินทุกอย่างแม้กระทั่งกระแสลม

ราวกับถูกสะกดจิต ยิ่งไคร่าเข้ามาใกล้ เธอยิ่งรู้สึกอบอุ่นมากขึ้น เหมือนกำลังเดินไปยังพื้นผิวของดวงอาทิตย์ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังละลายเมื่อเธอเข้าใกล้ไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกทุกอย่างกลับมา เมื่อเธอยืนอยู่ต่อหน้ากองไฟมหึมา เธอกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เธอกำลังยืนอยู่ข้างหน้า ถูกดึงดูดราวกับแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟ จ้องมองไปยังปริศนาแห่งโลก ปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนของพวกเขา สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาปลอดภัย และสิ่งเดียวที่ไม่มีใครเข้าใจ ไม่ใช่เพราะนักประวัติศาสตร์ ไม่ใช่พระราชา และไม่ใช่แม่มด มันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน? อะไรทำให้มันยังคงลุกไหม้? แล้วมันจะสิ้นสุดลงเมื่อไร?

เล่าขานกันว่าผู้เฝ้าดูรู้คำตอบ แต่พวกเขาไม่มีทางที่จะเปิดเผย ในตำนานกล่าวว่ามีดาบแห่งเพลิงถูกรักษาเอาไว้ที่หนึ่งในสองหอคอย ไม่มีใครรู้ว่าหอคอยไหนที่ทำให้เปลวไฟลุกโชติช่วง หอคอยแห่งนี้ได้รับการคุ้มกันโดยกลุ่มของศาสนา ผู้เฝ้ามอง กฎโบราณ ครึ่งมนุษย์ ครึ่งบางอย่าง ซึ่งได้รับการเก็บซ่อนเอาไว้อย่างดี และได้รับการคุ้มกันทั้งสองฝั่งของเอสคาลอน ฝั่งแรกอยู่ทางชายฝั่งตะวันตกที่ไกลออกไปในเยอร์ และอีกฝั่งอยู่ทางหัวมุมตะวันออกเฉียงใต้ของโคส ผู้เฝ้ามองเข้าร่วมเช่นกัน โดยมีอัศวินที่ยอดเยี่ยมที่สุดของอาณาจักร ทั้งหมดต่างมุ่งหมายที่จะเก็บซ่อนดาบแห่งเพลิงและรักษากำแพงอัคคีให้เป็นเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ต่อไป

พ่อของเธอเคยเล่าให้ฟังว่า มีโทรลมากกว่าหนึ่งตัวฝ่าเข้ามาจากกำแพงอัคคีพยายามที่จะค้นหาหอคอยเพื่อขโมยดาบ แต่ไม่เคยมีตัวไหนทำสำเร็จ ผู้เฝ้ามองทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม แม้แต่พละกำลังทั้งหมดของแพนดิเซียก็ยังไม่กล้าครอบครองหอคอย ไม่กล้าเสี่ยงที่จะทำให้ผู้เฝ้ามองโกรธและลดเปลวไฟของกำแพงอัคคี

ไคร่าพบความเคลื่อนไหวในระยะไกล เธอมองเห็นกลุ่มทหารลาดตระเวน กำลังถือคบไฟในยามค่ำคืน เดินไปตามแนวของกำแพงอัคคี พร้อมดาบที่สะโพก พวกเขากระจายตัวในระยะทุกห้าสิบหลาหรือมากกว่า ซึ่งมีต้องดูแลพื้นที่อันกว้างใหญ่ หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้นเมื่อเธอมองเห็นพวกเขา เธอทำสำเร็จแล้วจริง ๆ

ไคร่ายืนอยู่ที่นั่น รู้สึกมีชีวิตชีวา รู้ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ โทรลสามารถพุ่งทะลุเปลวเพลิงเหล่านั้นได้ แน่นอนว่าไฟสามารถฆ่าพวกมันส่วนใหญ่ได้ แต่บางตัวใช้โล่ มันจึงสามารถหลุดรอดออกมา อย่างน้อยก็นานพอที่จะฆ่าทหารจำนวนหลายคน บางครั้งโทรลสามารถรอดชีวิต วิ่งไปทั่วป่าและทำลายหมู่บ้าน เธอจำได้ว่าครั้งหนึ่งทหารของพ่อได้นำหัวของโทรลกลับมา มันคือภาพที่เธอไม่อาจลืม

ไคร่าจ้องมองไปยังกำแพงอัคคี มันช่างดูลึกลับ เธอสงสัยต่อโชคชะตาของเธอ การออกมาไกลจากบ้าน ชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้?

“เฮ้ เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” เสียงตะโกนดังขึ้น

หนึ่งในทหารของพ่อพบเธอ และกำลังเดินมาหาเธอ

ไคร่าไม่ต้องการเผชิญหน้า พลังของเธอกลับคืนมา และมันคือเวลาที่เธอต้องมุ่งหน้าต่อไป

เธอผิวปากเรียกเลโอ ทั้งสองมุ่งหน้ากลับไปยังพายุ เดินทางสู่ป่าอันแสนไกล เธอไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน แต่เธอได้รับแรงบันดาลใจจากกำแพงอัคคี เธอรู้ว่าโชคชะตาของเธออยู่ข้างนอกนั่น ที่ไหนสักแห่ง แม้ว่าเธอจะยังคงมองไม่เห็นมันก็ตาม

*

ไคร่าเดินทางต่อไปในค่ำคืนอันหนาวเหน็บที่เกาะกินถึงขั้วกระดูก เธอดีใจที่เลโอยังอยู่กับเธอ และสงสัยว่าเธอจะสามารถไปได้ไกลอีกแค่ไหน เธอค้นหาทั่วทุกที่สำหรับการพักพิง เพื่อหลบหนีจากแรงลม พายุหิมะและความอันตราย เธอพบว่าตัวเธอเองถูกดึงดูดเข้าไปในแห่งหนาม สถานที่เพียงแห่งเดียวที่มองเห็นในสายตา กำแพงอัคคีอยู่ห่างออกไปข้างหลัง แสงสว่างของมันไม่สามารถมองเห็นเส้นขอบฟ้าได้อีกแล้ว และพระจันทร์สีเลือดถูกบดบังด้วยกลุ่มเมฆเรียบร้อยแล้ว เธอจึงไม่มีแสงสว่างเพียงพอที่จะมองเห็นอีกต่อไป นิ้วมือและนิ้วเท้าของเธอเริ่มรู้สึกชาขึ้นมาอีกครั้ง สถานการณ์ของเธอดูจะอันตรายขึ้นทุกขณะ เธอเริ่มสงสัยว่ามันช่างเป็นเรื่องโง่เขลาที่เธอหนีออกมาจากป้อมปราการ เธอยังคงสงสัยถึงการส่งตัวเธอไปและการไม่สนใจของพ่อ

ไคร่ารู้สึกโกรธขึ้นมา เธอเดินไปบนหิมะเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เธอก็ไม่แน่ใจว่าที่ไหน แต่จะหนีไปให้พ้นจากชีวิตที่กำลังรอเธออยู่ เมื่อสายลมพัดมาอีกระลอกและเลโอส่งเสียงคราง ไคร่ามองขึ้นไป เธอต้องประหลาดใจที่พบว่าเธอสามารถมาถึงแล้ว เบื้องหน้าของเธอคือป่าแห่งหนาม

ไคร่าหยุดเดิน รู้สึกหวั่นใจถึงความอันตราย ต่อให้มาเป็นกลุ่มในตอนกลางวันก็ยังไม่ปลอดภัย และยิ่งเสี่ยงเมื่อต้องมาที่นี่เพียงลำพังในยามค่ำคืนของเหมันต์จันทรา เมื่อวิญญาณออกเดินทาง ช่างดูเป็นเรื่องบ้าบิ่น เธอรู้ว่าอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้

 

ลมหนาวพัดมาอีกครั้ง หิมะตกใส่หลังคอของเธอ ทำให้เธอหนาวมากขึ้น ผลักดันให้ไคร่าเดินหน้าต่อไป ผ่านต้นไม้ต้นแรก กิ่งก้านของมันถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ เธอกำลังเดินเข้าสู่ป่า

เมื่อเธอเข้ามาข้างใน ไคร่ารู้สึกโล่งใจทันที กิ่งก้านหนาของต้นไม้สามารถป้องกันเธอจากแรงลม เหลือเพียงเสียงพายุหิมะที่โหวกเหวกอยู่ภายนอก นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ออกมาข้างนอก ที่ไคร่าสามารถมองเห็นได้อีกครั้ง เธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

ไคร่าใช้มือปัดหิมะออกจากแขน ไหล่ และผมของเธอ เลโอก็สะบัดหิมะออกจากตัวของมัน หิมะกระจายไปทั่ว เธอเอื้อมมือลงไปในกระเป๋า และดึงเนื้อตากแห้งบางส่วนออกมาให้มัน มันรีบคว้าไปอย่างตะกละตะกราม ไคร่าลูบลงบนหัวของมัน

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะหาที่พักพิงให้กับพวกเรา” เธอพูด

ไคร่าเดินลึกเข้าไปในป่า มองหาที่ใดก็ได้สำหรับพักพิง เธอต้องการพักแรมที่นี่เพื่อรอให้พายุสงบลง ตื่นขึ้นมาพบกับวันใหม่ และเดินทางต่อไปในตอนรุ่งเช้า เธอมองหาชะง่อนหิน พุ่มต้นไม้หรือถ้ำ อะไรก็ได้ แต่เธอไม่พบสิ่งใดเลย

ไคร่าเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ หิมะสูงถึงเข่าของเธอ พุ่มไม้เต็มไปด้วยหิมะในป่าอันหนาทึบ เมื่อเธอเดินเข้าไป เสียงของสัตว์แปลก ๆ เริ่มดังขึ้นรอบตัว เธอได้ยินเสียงร้องคล้ายแมวอยู่ข้างเธอ เธอหมุนตัวกลับ และมองเข้าไปยังกิ่งไม้หนา แต่มันมืดเกินไปที่จะมองเห็นอะไร ไคร่ารีบเดินต่อ ไม่ต้องการเสียเวลาที่มัวแต่คิดว่ามีสัตว์ร้ายอะไรแอบซ่อนอยู่ที่นี่ และเธอไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเผชิญหน้า เธอกำธนูในมือแน่นขึ้น ไม่แน่ใจว่าเธอจะต้องใช้มันหรือไม่ ทำให้มือของเธอเริ่มชา

ไคร่าเดินขึ้นไปบนทางชัน เมื่อเธอมาถึงยอดเขา เธอหยุดและมองออกไป เธอสามารถมองเห็นทิวทัศน์ด้านล่าง แสงจันทร์สาดส่องผ่านแมกไม้ เบื้องล่างของเธอมีทะเลสาบส่องประกายระยิบระยับ ขณะนี้มันกลายเป็นน้ำแข็งสีน้ำเงินโปร่งใส เธอจำได้ทันทีว่ามันคือทะเลสาบแห่งความฝัน พ่อของเธอเคยพาเธอมาที่นี่ครั้งหนึ่งเมื่อเธอยังเป็นเด็ก พวกเขาได้จุดเทียนและวางลงบนกระถางดอกลิลลี่ เพื่อบูชาแม่ของเธอ ทะเลสาบแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ กระจกยักษ์ที่สามารถมองเห็นทั้งชีวิตเบื้องบนและชีวิตเบื้องล่าง มันเป็นสถานที่ลึกลับ สถานที่ที่คุณจะไม่มาหากไม่มีเหตุผลดีพอ สถานที่ซึ่งความปรารถนาของหัวใจไม่อาจมองข้ามได้

ไคร่ามุ่งหน้าไปยังทะเลสาบ รู้สึกเหมือนกับถูกดึงดูด เธอย่ำเท้าไปตามเนินผา ใช้ไม้เท้าของเธอในการประคองตัว แหวกผ่านระหว่างต้นไม้ ลื่นไถลเป็นบางครั้ง จนกระทั่งเธอมาถึงริมทะเลสาบ มันช่างดูประหลาด ริมทะเลสาบนี้ทำมาจากทรายสีขาวสวยงาม ไม่มีหิมะเลย น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

ไคร่ายืนอยู่ริมน้ำ ตัวสั่นเทาจากอากาศที่หนาวเหน็บ มองลงไปในแสงจันทร์ เธอเห็นภาพสะท้อนของเธอ ผมสีบลอนด์ของเธอปรกลงมาที่แก้ม ดวงตาสีเทาอ่อน โหนกแก้มที่สูง รูปลักษณ์ของเธอ ไม่มีสิ่งใดที่เหมือนกับพ่อของเธอหรือพี่น้องของเธอเลย ภาพสะท้อนจ้องกลับมาที่เธอ ในแววตาของเธอ เธอรู้สึกประหลาดใจที่มองเห็นภาพของการขัดขืน แววตาของนักรบ

เมื่อเธอมองดูภาพสะท้อนของตัวเอง พลางนึกถึงคำพูดของพ่อเมื่อหลายปีก่อน ความปรารถนาอันแรงกล้าจากหัวใจ ณ ทะเลสาบแห่งความฝันไม่อาจปฏิเสธได้

ไคร่ายืนอยู่ท่ามกลางจุดเปลี่ยนของชีวิต ต้องการสิ่งชี้นำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอไม่เคยรู้สึกสับสนว่าต้องทำอะไร ต้องไปที่ไหน เธอหลับตาลง และภาวนาด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า

พระเจ้า ข้าไม่รู้ว่าท่านคือใคร แต่ข้าขอความช่วยเหลือจากท่าน ช่วยอะไรข้าบางอย่าง และข้าจะตอบแทนท่านด้วยสิ่งใดก็ตามที่ท่านต้องการ โปรดแสดงเส้นทางที่ข้าต้องไป ขอชีวิตอันมีเกียรติและความกล้าหาญจงมีแก่ข้า ให้ข้าได้กลายมาเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่ เป็นที่เกรงกลัวของใคร ๆ ขอให้ข้าได้มีอิสระในการทำสิ่งที่ข้าเลือก ไม่ใช่สิ่งที่ผู้อื่นเลือกให้ข้า

ไคร่าคุกเข่าอยู่ที่นั่น รู้สึกเหน็บชากับความหนาวเย็น หมดสิ้นด้วยความหวัง ไม่มีที่ใดในโลกเหลือให้กลับไปอีกแล้ว เธอเฝ้าอ้อนวอนด้วยจิตและวิญญาณทั้งหมดของเธอ เธอไม่รับรู้ถึงกาลเวลาและสถานที่

ไคร่าไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานแค่ไหน เมื่อเธอลืมตาขึ้นมา เปลือกตาของเธอมีหิมะเกาะอยู่ เธอรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เธอไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร ราวกับความสงบได้มาสถิตอยู่ในตัวของเธอ เธอมองลงไปในทะเลสาบ และครั้งนี้ สิ่งที่เธอเห็นกลับทำให้เธอแทบจะลืมหายใจ

สิ่งที่จ้องกลับมาไม่ใช่ภาพสะท้อนของตัวเธอเอง แต่มันคือมังกรที่ดูดุร้าย ดวงตาสีเหลืองส่องประกาย และเกล็ดหนังสีแดง เธอรู้สึกเย็นยะเยือก เมื่อมันอ้าปากและส่งเสียงคำรามมาที่เธอ

ไคร่าสะดุ้ง งุนงง คิดว่าจะเห็นมังกรอยู่ข้างหน้า เธอมองไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใด

มีเพียงแค่เธอ และเลโอที่กำลังส่งเสียงครางเบา ๆ

ไคร่ามองลงไปในทะเลสาบอีกครั้ง และครั้งนี้ เธอมองเห็นเพียงแค่ใบหน้าของเธอ

หัวใจของเธอเต้นรัว หรือมันจะเป็นภาพลวงของแสง? หรือเป็นจินตนาการของเธอเอง? แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ มังกรไม่เคยมาเยือนเอสคาลอนในรอบพันปี เธอบ้าไปแล้วหรือ? นี่มันหมายความว่าอะไร?

ทันใดนั้น ไคร่าต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงน่ากลัวดังมาแต่ไกลจากในป่า บางอย่างที่เหมือนเสียงลม หรืออาจจะเป็นเสียงไก่ เลโอได้ยิน มันหันไปและส่งเสียงขู่ ขนของมันตั้งชัน ไคร่ามองไปยังป่า เธอมองเห็นแสงสลัวจากหลังแนวต้นไม้ในระยะไกล เหมือนกับไฟ แต่ไม่ใช่ไฟ สีขาวเรืองแสงที่ดูน่ากลัว

หลังคอของไคร่าขนลุกชัน ในขณะที่มองดู เธอรู้สึกเหมือนอีกโลกหนึ่งกำลังกวักมือเรียก เธอรู้สึกว่าเธอได้เปิดประตูสู่อีกโลกหนึ่ง ทุกส่วนของเธอกรีดร้องบอกให้เธอหันหลังและวิ่งหนีไป แต่ตัวเธอเหมือนโดนสะกดจิต ร่างกายของเธอขยับไปเอง เธอลุกขึ้นและเริ่มเดินมุ่งหน้าไปยังแสงนั้น

ไคร่าเดินขึ้นเขาไปพร้อมกับเลโอ แสงเริ่มสว่างขึ้นเรื่อย ๆ เธอแหวกต้นไม้เพื่อเดินผ่าน ในที่สุดเธอก็มาถึงสันเขา เธอหยุดและต้องตกตะลึงกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า ภาพที่เธอไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น และเป็นภาพที่เธอจะไม่มีวันลืมไปตลอดกาล

หญิงชราผู้มีใบหน้าขาวมากกว่าหิมะ ท่าทางพิลึก เต็มไปด้วยหูดและแผลเป็น จ้องมองลงไปยังสิ่งที่ดูเหมือนไฟด้านล่าง มืออันเหี่ยวย่นของเธอจับมันอยู่ แต่ไฟที่เผาไหม้กลับมีสีขาวสว่าง และไม่มีฟืนข้างล่าง เธอมองมาที่ไคร่าด้วยดวงตาสีน้ำเงินเยือกเย็นเหมือนน้ำแข็ง ดวงตาที่ไม่มีสีขาว และไม่มีนัยน์ตา มันคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็น หัวใจของเธอถูกแช่แข็ง ทุกสิ่งทุกอย่างภายในตัวของเธอบอกให้เธอหันหลังและวิ่งหนีไป แต่เธอไม่สามารถช่วยตัวเองได้ เท้าของเธอก้าวเข้าไปใกล้เรื่อย ๆ

“เหมันต์จันทรา” หญิงชราพูด เสียงของเธอทุ้มลึกผิดธรรมชาติ เหมือนกับเสียงของอึ่งอ่าง “เมื่อความตายไม่ใช่ชีวิต และชีวิตไม่ใช่ความตาย”

“แล้วท่านคือสิ่งใด?” ไคร่าถาม พร้อมก้าวไปข้างหน้า

หญิงชราส่งเสียงประหลาด เสียงที่น่ากลัวส่งผ่านความหนาวไปถึงกระดูกสันหลังของเธอ เลโอส่งเสียงคำรามอยู่ข้าง ๆ

“คำถามคือ” หญิงชราพูด “เจ้าคือสิ่งใด?”

ไคร่าคิ้วขมวด

“ข้ายังมีชีวิต” เธอยืนยัน

“เจ้าน่ะหรือ? ในสายตาของข้า เจ้าดูเหมือนคนตายมากกว่าข้า”

ไคร่าสงสัยว่าเธอหมายถึงอะไร เธอรู้สึกว่ามันคือคำต่อว่า คำต่อว่าที่เธอไม่ได้มุ่งหน้าไปอย่างกล้าหาญ และทำตามหัวใจของเธอเอง

“เจ้ากำลังมองหาสิ่งใดหรือ นักรบผู้กล้า?” หญิงชราถาม

หัวใจของไคร่าเต้นเร็วขึ้น และเธอรู้สึกเหมือนได้รับกำลังใจ

“ข้าต้องการชีวิตที่ยิ่งใหญ่” เธอพูด “ข้าต้องการเป็นนักรบ เฉกเช่นพ่อของข้า”

หญิงชรามองกลับไปยังแสงสว่างนั้น ไคร่ารู้สึกโล่งใจที่หญิงชราละสายตาไปจากเธอ ความเงียบอันยาวนานปกคลุมขึ้น ในขณะที่ไคร่ากำลังเฝ้ารออย่างสงสัย

ความเงียบที่ดูเหมือนจะไม่สิ้นสุด หัวใจของไคร่ารู้สึกผิดหวัง บางทีหญิงชราอาจจะไม่ตอบ หรือบางทีความปรารถนาของเธอไม่สามารถเป็นไปได้

“ท่านช่วยข้าได้หรือไม่?” ไคร่าถามออกไป “ท่านสามารถเปลี่ยนโชคชะตาของข้าได้หรือไม่?”

หญิงชรามองกลับมา ดวงตาของเธอเป็นประกาย ดุดัน ดูน่ากลัว

“เจ้าเลือกค่ำคืนที่ทุกอย่างสามารถเป็นไปได้” เธอตอบช้า ๆ “ถ้าเจ้าปรารถนาสิ่งใดอย่างแรงกล้า เจ้าจะได้มันมา คำถามคือ เจ้าจะสละสิ่งใดเพื่อมัน?”

ไคร่าครุ่นคิด หัวใจของเธอเต้นรัวกับความเป็นไปได้

“ข้าจะให้ทุกอย่าง” เธอพูด “อะไรก็ได้

ความเงียบอันยาวนานกลับมาอีกครั้ง ลมหนาวพัดโชยมา เลโอเริ่มร้องคราง

“เราแต่ละคนต่างเกิดมาพร้อมโชคชะตา” หญิงชราพูดออกมาในที่สุด “และเราต้องเลือกโชคชะตาสำหรับตัวเราเอง พรหมลิขิตและความปรารถนา สิ่งเหล่านี้จะดลบันดาลไปตลอดชั่วชีวิตของเจ้า การยื้อแย่งกันระหว่างสองฝ่าย ฝั่งไหนจะชนะ…อืม มันก็ขึ้นอยู่กับว่า”

“ขึ้นอยู่กับอะไร?” ไคร่าถาม

“พลังใจของเจ้า เจ้าต้องการบางอย่างด้วยความสิ้นหวังมากเพียงใด เจ้าได้รับความกรุณาจากพระเจ้าแค่ไหน และบางทีเหนือสิ่งอื่นใด เจ้าพร้อมที่จะสละสิ่งใด”

“ข้าจะเสียสละ” ไคร่าพูด รู้สึกถึงความแข็งแกร่งภายในตัวของเธอ “ข้าจะอุทิศทุกอย่าง เพื่อจะไม่ได้ต้องใช้ชีวิตที่ผู้อื่นเลือกให้”

ความเงียบอันยาวนานตามมา หญิงชราจ้องมองไปยังดวงตาของเธออย่างแรงกล้า ไคร่าเกือบจะเบือนหน้าหนี

“สาบานต่อข้า” หญิงชราพูด “ในค่ำคืนนี้ สาบานต่อข้าว่าเจ้าจะชดใช้”

ไคร่าก้าวมาข้างหน้าอย่างจริงจัง หัวใจของเธอเต้นรัว รู้สึกว่าชีวิตของเธอกำลังจะเปลี่ยนไป

“ข้าขอสาบาน” เธอป่าวประกาศ มันมีความหมายมากกว่าคำใด ๆ ที่เธอเคยเอื้อนเอ่ยออกมาในชีวิตของเธอ

น้ำเสียงที่แน่วแน่ของเธอตัดผ่านอากาศ เสียงของเธอสื่อถึงความรับผิดชอบ แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังแปลกใจ

หญิงชรามองมาที่เธอ และเป็นครั้งแรกที่เธอพยักหน้า ใบหน้าของเธอเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าแห่งความเคารพ

“เจ้าจะเป็นนักรบ และมากกว่านั้น” หญิงชราประกาศเสียงดัง ยกมือของเธอขึ้นมา เสียงของเธอกึกก้อง ดังมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่เธอพูดต่อ “เจ้าจะเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ยิ่งใหญ่กว่าพ่อของเจ้า นอกจากนี้ เจ้าจะเป็นผู้ครองนครที่ยิ่งใหญ่ เจ้าจะได้รับพลังอำนาจเกินกว่าที่เจ้าเคยคาดฝัน ทั่วโลกจะต้องมองมาที่เจ้า”

Купите 3 книги одновременно и выберите четвёртую в подарок!

Чтобы воспользоваться акцией, добавьте нужные книги в корзину. Сделать это можно на странице каждой книги, либо в общем списке:

  1. Нажмите на многоточие
    рядом с книгой
  2. Выберите пункт
    «Добавить в корзину»